ทั้ง TOEIC, TOEFL และ IELTS ต่างก็เป็นการสอบวัดระดับคะแนนภาษาอังกฤษที่สำคัญ แต่จะมีการใช้และรายละเอียดการสอบที่ต่างกัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าการสอบแต่ละอันคืออะไร และต่างกันอย่างไรบ้าง ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงข้อมูลมาให้อ่านกันแบบง่ายๆ แล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย
ตารางเปรียบเทียบ TOEIC, TOEFL และ IELTS
TOEIC (โทอิค) | TOEFL (โทเฟิล) | IELTS (ไอเอลส์) | |
---|---|---|---|
สอบเพื่ออะไร | ใช้สมัครงานบริษัทเอกชน | ใช้เรียนต่อมหาวิทยาลัยในระบบสหรัฐอเมริกา | ใช้เรียนต่อมหาวิทยาลัยในระบบอังกฤษ |
ความยากง่าย | ง่ายสุดในบรรดาการสอบทั้ง 3 อย่าง เพราะใช้แต่ข้อสอบแบบมีตัวเลือก และวัดทักษะเฉพาะด้านการฟังและการอ่าน | ยากกว่า TOEIC เพราะรูปแบบข้อสอบมีความหลากหลาย และวัดทักษะทั้งด้านฟัง พูด อ่าน เขียน | ยากกว่า TOEIC เพราะรูปแบบข้อสอบมีความหลากหลาย และวัดทักษะทั้งด้านฟัง พูด อ่าน เขียน |
ลักษณะข้อสอบ | ข้อสอบเป็นแบบมีตัวเลือก ทำในกระดาษคำตอบ แบ่งเป็นพาร์ทการฟัง 100 ข้อ (มีเทปเปิดให้ฟัง) และพาร์ทการอ่าน 100 ข้อ | ข้อสอบมีทั้งแบบมีตัวเลือก ให้เขียนตอบ และให้พูด ข้อสอบจะแบ่งเป็นพาร์ทการฟัง 28-39 ข้อ การพูด 4 ข้อ การอ่าน 30-40 ข้อ และการเขียน 2 ข้อ ข้อสอบ TOEFL จะให้สอบกับคอมพิวเตอร์ | ข้อสอบมีทั้งแบบมีตัวเลือก ให้เขียนตอบ และให้พูด ข้อสอบจะแบ่งเป็นพาร์ทการฟัง 40 ข้อ การพูด 3 ข้อ การอ่าน 40 ข้อ และการเขียน 2 ข้อ ข้อสอบ IELTS จะมีให้เลือกทั้งแบบสอบกับกระดาษและสอบกับคอมพิวเตอร์ |
ค่าสอบ | 1,800 บาท | $215 (ประมาณ 6,700 บาท) | 6,900 บาท |
TOEIC คืออะไร
TOEIC (โทอิค) คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสมัครงาน ซึ่งนิยมใช้ในหลายประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทยเราด้วย
ข้อสอบ TOEIC จะมีทั้งหมด 200 ข้อ แบ่งเป็นพาร์ทการฟัง 100 ข้อ (มีเทปเปิดให้ฟัง) และพาร์ทการอ่าน 100 ข้อ โดยที่ข้อสอบทุกข้อจะเป็นแบบปรนัย (ข้อสอบแบบมีตัวเลือก)
ผลสอบ TOEIC ที่ได้จะอยู่ในช่วง 10-990 คะแนน ซึ่งจะประกอบไปด้วยพาร์ทการฟังและการอ่าน โดยแต่ละพาร์ทจะมีช่วงคะแนนอยู่ในช่วง 5-495 คะแนน
การสอบ TOEIC จริงๆ แล้วมี 2 แบบ คือการฟังการอ่าน (TOEIC Listening and Reading Test) และการพูดการเขียน (TOEIC Speaking and Writing Test) แต่ที่นิยมสอบและใช้กันจะมีแค่แบบการฟังการอ่านเท่านั้น
TOEFL คืออะไร
TOEFL (โทเฟิล) คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในระบบสหรัฐอเมริกา ใครที่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาก็ควรจะเน้นสอบ TOEFL เป็นหลัก
(ในช่วงหลังๆ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในระบบอังกฤษต่างก็ยอมรับผลสอบ TOEFL กันมากขึ้น แต่ถ้าจะให้ชัวร์ เราก็ควรเช็คก่อน ว่าหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้านั้นรับคะแนนสอบภาษาอังกฤษอะไรบ้าง)
ข้อสอบ TOEFL จะวัดทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ซึ่งก็คือการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยที่ตัวข้อสอบจะมีทั้งส่วนที่เป็นปรนัย (ข้อสอบแบบมีตัวเลือก) ส่วนที่ให้เขียน และส่วนที่ให้พูด
ผลสอบ TOEFL ที่ได้จะอยู่ในช่วง 0-120 คะแนน โดยที่แต่ละพาร์ท (ฟัง พูด อ่าน เขียน) จะมีคะแนนอยู่ในช่วง 0-30 คะแนน
การสอบ TOEFL จริงๆ แล้วมีหลายแบบ ได้แก่ TOEFL PBT, TOEFL iBT, TOEFL ITP แต่ที่นิยมสอบกัน และใช้ในการเรียนต่อจะเป็น TOEFL iBT ซึ่งย่อมาจาก TOEFL Internet-Based Test
IELTS คืออะไร
IELTS (ไอเอลส์) คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในระบบอังกฤษ ใครที่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นๆ ในยุโรป ก็ควรจะเน้นสอบ IELTS เป็นหลัก
(ในช่วงหลังๆ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในระบบสหรัฐอเมริกาต่างก็ยอมรับผลสอบ IELTS กันมากขึ้น แต่ถ้าจะให้ชัวร์ เราก็ควรเช็คก่อน ว่าหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้านั้นรับคะแนนสอบภาษาอังกฤษอะไรบ้าง)
ข้อสอบ IELTS จะวัดทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ซึ่งก็คือการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยที่ตัวข้อสอบจะมีทั้งส่วนที่เป็นปรนัย (ข้อสอบแบบมีตัวเลือก) ส่วนที่ให้เขียน และส่วนที่ให้พูด
ผลสอบ IELTS ที่ได้จะอยู่ในช่วง 0-9 คะแนน ทั้งคะแนนแต่ละพาร์ท (ฟัง พูด อ่าน เขียน) และคะแนนเฉลี่ยรวม โดยที่ตัวคะแนนจะเป็นเลขกลม หรือเลข .5 เท่านั้น เช่น 5.5, 6.0, 6.5, 7.0
เลือกสอบอันไหนดี
การเลือกว่าจะสอบ TOEIC, TOEFL หรือ IELTS เราควรมองการใช้เป็นหลัก ว่าจะเอาคะแนนไปใช้ทำอะไร ซึ่งหลักๆ แล้วจะแบ่งได้เป็น
สอบเพื่อสมัครงานภายในประเทศ ควรสอบ TOEIC เพราะเป็นคะแนนที่ใช้ในการสมัครงาน
สอบเพื่อเรียนต่อในสหรัฐอเมริกา ควรสอบ TOEFL เพราะเป็นคะแนนที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาต่างก็ให้การยอมรับ (หลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาก็ยอมรับคะแนน IELTS เช่นกัน แต่ถ้าจะให้ชัวร์ เราก็ควรเช็คกับทางมหาวิทยาลัยก่อน)
สอบเพื่อเรียนต่อในอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือประเทศในยุโรป ควรสอบ IELTS เพราะเป็นคะแนนที่มหาวิทยาลัยในประเทศเหล่านี้ต่างก็ให้การยอมรับ (หลายมหาวิทยาลัยในประเทศเหล่านี้ก็ยอมรับคะแนน TOEFL เช่นกัน แต่ถ้าจะให้ชัวร์ เราก็ควรเช็คกับทางมหาวิทยาลัยก่อน)
TOEFL กับ IELTS อันไหนง่ายกว่ากัน
แล้วถ้ามหาวิทยาลัยที่เราจะเข้ารับทั้ง TOEFL และ IELTS ล่ะ เราควรจะสอบอะไรดี อันไหนถือว่าง่ายกว่ากัน
ส่วนใหญ่แล้ว หลายคนมักจะมองว่า IELTS นั้นง่ายกว่า TOEFL แต่เรื่องความยากง่ายบางทีก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละคน
ทางที่ดี เราอาจลองทำแนวข้อสอบของทั้งคู่ดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจด้วยตัวเองอีกที ว่าการสอบอันไหนเหมาะกับตัวเรามากกว่ากันแน่
ทั้งนี้ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเลือกสอบ TOEFL หรือ IELTS ถ้าเพื่อนๆ เตรียมตัวได้ดีพอ การจะได้คะแนนดีๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
จบแล้วนะครับกับข้อมูลการสอบ TOEIC, TOEFL และ IELTS ทีนี้เพื่อนๆ ก็คงจะรู้กันแล้วว่าการสอบทั้ง 3 อย่างนี้คืออะไร ใช้สำหรับอะไร และมีรายละเอียดต่างกันอย่างไรบ้าง
สำหรับใครที่จะสอบ TOEIC, TOEFL หรือ IELTS ชิววี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้สอบได้คะแนนดีๆ นะครับ สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time