แกรมม่าภาษาอังกฤษเรื่องคำนามนับได้ (countable noun) และคำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนควรรู้ เพราะเป็นสิ่งที่ใช้บ่อย และจำเป็นสำหรับการเรียนแกรมม่าในหัวข้ออื่นๆอีกหลายหัวข้อ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ หรือยังสับสนเกี่ยวกับเรื่องคำนามนับได้และนับไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ทั้งนิยามของคำนามนับได้และนับไม่ได้ ตัวอย่าง การใช้ร่วมกับ determiners และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย
คำนามนับได้คืออะไร
คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น
Apple – แอปเปิล (นับได้ว่ามีกี่ลูก)
Book – หนังสือ (นับได้ว่ามีกี่เล่ม)
Sister – พี่สาว/น้องสาว (นับได้ว่ามีกี่คน)
สำหรับคำนามนับได้ เราสามารถใส่จำนวนตัวเลขบอกปริมาณเข้าไปตรงๆได้เลย และคำนามชนิดนี้จะมีรูปพหูพจน์ อย่างเช่น
Three apples – แอปเปิล 3 ลูก
A book – หนังสือ 1 เล่ม
Two sisters – พี่สาว/น้องสาว 2 คน
(รูปพหูพจน์คือคำนามที่ถูกเติม s หรือ es ต่อท้าย เป็นตัวบ่งชี้ว่าคำนามนั้นมีจำนวนมากกว่าหนึ่งหน่วย เช่น bananas, pens, buffaloes แต่คำนามที่เป็นรูปพหูพจน์บางคำก็ไม่ได้ลงท้ายด้วย s หรือ es เช่นคำว่า children ซึ่งแปลว่าเด็กหลายคน)
คำนามนับไม่ได้คืออะไร
คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น
Water – น้ำ (เราจะไม่มานั่งนับน้ำว่ามีกี่หยด)
Sand – ทราย (เราจะไม่มานั่งนับทรายว่ามีกี่เม็ด)
Fun – ความสนุก (เรานับความสนุกเป็นอันๆไม่ได้)
สำหรับคำนามนับไม่ได้ เราจะไม่สามารถใส่จำนวนตัวเลขบอกปริมาณเข้าไปตรงๆได้ และคำนามชนิดนี้จะไม่มีรูปพหูพจน์ ถ้าจะบอกปริมาณ เราต้องใช้หน่วยเฉพาะเข้ามากำกับ โดยใช้โครงสร้าง “ปริมาณ + หน่วย + of + คำนามนับไม่ได้” อย่างเช่น
Three waters -> Three glasses of water – น้ำ 3 แก้วA sand -> A bucket of sand – ทราย 1 ถังTwo funs -> ความสนุกเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่มีหน่วยเฉพาะที่สามารถบอกปริมาณได้
ทั้งนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าคำนามบางตัว อย่างน้ำ (water) และเงิน (money) เราสามารถบอกปริมาณได้โดยใช้หน่วยวัด เช่น น้ำกี่ลิตร เงินกี่บาท แล้วทำไมถึงยังจัดเป็นคำนามนับไม่ได้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำนามนับได้นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่นับได้ง่ายโดยธรรมชาติ ไม่ใช่นับได้ด้วยหน่วยวัดที่ประดิษฐ์ขึ้น
คำนามที่ทั้งนับได้และไม่ได้
หลายๆครั้ง เส้นแบ่งระหว่างคำนามนับได้และนับไม่ได้ก็สามารถยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ ไม่ได้ถือเป็นสิ่งตายตัวซะทีเดียว คำๆหนึ่งอาจเป็นได้ทั้งคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ หรืออาจใช้งานเหมือนคำนามอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งได้แก่กรณีต่อไปนี้
คำเดียวกัน แต่คนละความหมาย
คำบางคำมีหลายความหมาย ซึ่งความหมายหนึ่งอาจเป็นคำนามนับได้ ในขณะที่ความหมายอื่นกลับเป็นคำนามนับไม่ได้ อย่างเช่น
คำว่า glass
- ความหมายแรกแปลว่า “แก้วน้ำ” ถือเป็นคำนามนับได้ (นับได้ว่ามีกี่ใบ)
- อีกความหมายแปลว่า “กระจก” ถือเป็นคำนามนับไม่ได้ (คำว่ากระจกถือเป็นคำที่กว้าง มีชนิด ขนาด และรูปทรงหลากหลาย ไม่มีหน่วยตามธรรมชาติที่ชัดเจน เช่นคำว่ากระจกอาจหมายถึง กระจกหน้าต่าง กระจกมือถือ กระจกที่เป็นส่วนผสมในวัสดุอื่น)
คำว่า paper
- ความหมายแรกแปลว่า “หนังสือพิมพ์” เป็นคำสั้นๆที่ใช้แทนคำว่า newspaper ถือเป็นคำนามนับได้ (นับได้ว่ามีกี่ฉบับ)
- อีกความหมายแปลว่า “กระดาษ” ถือเป็นคำนามนับไม่ได้ (คำว่ากระดาษถือเป็นคำที่กว้าง มีชนิด ขนาด และรูปทรงหลากหลาย ไม่มีหน่วยตามธรรมชาติที่ชัดเจน เช่นคำว่ากระดาษอาจหมายถึง กระดาษ A4 กระดาษลัง กระดาษห่อของขวัญ)
คำเดียวกัน ความหมายเดียวกัน แต่สื่อคนละแบบ
บางคำจะเป็นได้ทั้งคำนามนับได้และนับไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้คำนั้นสื่อความหมายแบบไหน (โดยรวมหรือหลายชนิด, ทั่วไปหรือชี้เฉพาะ) อย่างเช่น
คำว่า food ซึ่งแปลว่า “อาหาร” ถ้าใช้ในความหมายทั่วไป จะถือเป็นคำนามนับไม่ได้ แต่จะถือเป็นคำนามนับได้ ถ้าเราหมายถึงชนิดอาหารหลายๆชนิด
Japanese food and Thai food are examples of Asian foods.
อาหารญี่ปุ่นและอาหารไทยเป็นตัวอย่างของอาหารเอเชีย
(เราใช้ Japanese food กับ Thai food เพื่อสื่อถึงอาหารญี่ปุ่นและอาหารไทยโดยรวม เลยถือเป็นคำนามนับไม่ได้ แต่ Asian foods ในที่นี้กล่าวรวมอาหารเอเชียหลายชนิดหลายเชื้อชาติ เลยถือเป็นคำนามนับได้)
คำว่า time ซึ่งแปลว่า “เวลา” ถ้าใช้ในความหมายทั่วไป จะถือเป็นคำนามนับไม่ได้
Time is the most precious resource.
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด
(พูดถึงเวลาโดยทั่วไป)
แต่จะถือเป็นคำนามนับได้ ถ้าเราหมายถึงช่วงเวลาเฉพาะ
I had a good time in London.
ฉันมีช่วงเวลาที่ดีตอนที่อยู่ที่ลอนดอน
(พูดถึงช่วงเวลาตอนที่อยู่ในลอนดอน)
การใช้คำนามนับไม่ได้เหมือนคำนามนับได้
อย่างที่ได้อธิบายไป ถ้าเราจะบอกจำนวนของคำนามนับไม่ได้ เราจะต้องใช้โครงสร้าง “ปริมาณ + หน่วย + of + คำนามนับไม่ได้” อย่างเช่น two cups of coffee ซึ่งแปลว่า กาแฟ 2 ถ้วย
แต่ในภาษาพูดหรือภาษาที่ไม่เป็นทางการ บางทีเราจะใช้คำนามนับไม่ได้เหมือนคำนามนับได้ อย่างเช่น
Can I have two coffees?
ฉันขอกาแฟสองถ้วยได้มั้ย
(Two coffees ในที่นี้จะหมายถึง two cups of coffee ซึ่งก็คือการพูดแบบย่อนั่นเอง)
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำนามไหนนับได้หรือนับไม่ได้
วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะรู้ได้ว่าคำนามภาษาอังกฤษคำไหนเป็นคำนามนับได้หรือนับไม่ได้ ก็คือการเปิดพจนานุกรม แต่ไม่ใช่ว่าพจนานุกรมทุกเล่มจะมีข้อมูลเหล่านี้เหมือนกันหมด
ตัวอย่างพจนานุกรมภาษาอังกฤษออนไลน์ที่มีข้อมูลคำนามนับได้และนับไม่ได้ก็อย่างเช่น
วีธีดูเราจะต้องดูความหมายให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการจะใช้ด้วย เพราะคำภาษาอังกฤษบางคำก็มีทั้งความหมายที่เป็นคำนามนับได้ และความหมายที่เป็นคำนามนับไม่ได้
ที่แนะนำให้ใช้พจนานุกรมก็เพราะว่าการจัดประเภทคำนามนับได้และนับไม่ได้ หลายๆครั้งก็ขัดกับความรู้สึกของเรา ถ้าเราเดาโดยใช้หลักการกว้างๆ เราก็อาจจะเดาและจำไปใช้ต่อแบบผิดๆ การเปิดพจนานุกรมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจะถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การใช้ determiners กับคำนามแต่ละชนิด
Determiners คือคำนำหน้าคำนาม ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำนาม เช่น บอกปริมาณ ตัวอย่างคำที่เป็น determiners ก็อย่างเช่น a, an, the, many, much, some, any
การที่คำนามเป็นคำนามนับได้หรือนับไม่ได้จะมีผลต่อการเลือกใช้ determiners เพราะ determiners บางตัวก็สามารถใช้ได้กับคำนามนับได้หรือคำนามนับไม่ได้เท่านั้น
ตัวอย่าง determiners ที่ใช้ได้เฉพาะกับคำนามนับได้ ก็อย่างเช่น a, an, many, a few, ตัวเลข (one, two, three, …)
ตัวอย่าง determiners ที่ใช้ได้เฉพาะกับคำนามนับไม่ได้ ก็อย่างเช่น much, a little
สำหรับใครที่อยากเรียนรู้เรื่อง determiners เพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ Determiners คืออะไร มีการใช้อย่างไร
เป็นยังไงบ้างครับกับคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ
อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time