ใน present simple tense คำกริยาจะมี 2 รูปคือเอกพจน์และพหูพจน์ ซึ่งรูปเอกพจน์นั้นจะเป็นรูปที่ต้องเติม s/es ท้ายคำกริยา อย่างเช่น eats, walks, goes
อย่างไรก็ตาม การเติม s/es หลังคำกริยา ก็จะมีความต่างกันอยู่ โดยที่บางคำนั้นจะต้องเติม s ส่วนบางคำจะต้องเติม es และบางคำก็มีรูปเอกพจน์ที่ต่างจากพหูพจน์โดยสิ้นเชิง
สำหรับคนที่ยังไม่แม่นเรื่องการเติม s/es ท้ายคำกริยา ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงหลักการมาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย
ทบทวนความรู้
คำกริยารูปเอกพจน์ได้แก่ is, does, has, คำกริยารูปที่เติม s/es
คำกริยารูปพหูพจน์ได้แก่ are, do, have, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es
ใน present simple tense เราจะใช้คำกริยารูปเอกพจน์ กับคำนามเอกพจน์ เช่น Tim walks to school every day. และจะใช้คำกริยารูปพหูพจน์ กับคำนามพหูพจน์ เช่น My friends walk to school every day.
ข้อควรระวัง
อย่าสับสนระหว่างพจน์ของคำนามและพจน์ของคำกริยา
คำนามเอกพจน์ คือคำนามที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น student, cat, table
คำนามพหูพจน์ คือคำนามที่เติม s/es อย่างเช่น students, cats, tables
ในทางกลับกัน
คำกริยาเอกพจน์ คือคำกริยาที่เติม s/es อย่างเช่น eats, walks, goes
คำกริยาพหูพจน์ คือคำกริยาที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น eat, walk, go
เวลาใช้ เราจะต้องใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยาเอกพจน์ และใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยาพหูพจน์
หรือถ้าจะจำแบบง่ายๆก็คือ เราจะเติม s/es คำนามและคำกริยาสลับกัน ถ้าคำนามเติม s/es คำกริยาก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าคำนามไม่ได้เติม s/es คำกริยาก็จะต้องเติมแทน ยกตัวอย่างเช่น
My cat eats very fast. (แมวของฉันกินเร็วมาก)
My cats eat very fast. (บรรดาแมวๆของฉันนั้นกินเร็วมาก)
(จริงๆแล้ว คำนามพหูพจน์บางคำก็ไม่ได้ลงท้ายด้วย s/es หลักการนี้ใช้เพื่อให้จำได้ง่ายเท่านั้น)
หลักการเติม s และ es หลังคำกริยา
การใช้คำกริยารูปเอกพจน์ เราจะต้องเติม s หรือ es หลังคำกริยา ซึ่งจะมีหลักการทั้งหมด 5 ข้อดังนี้
1. คำกริยาส่วนใหญ่ให้เติม s ต่อท้ายได้เลย
คำกริยาส่วนใหญ่ เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม s ต่อท้ายได้เลย ยกตัวอย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Comes | Come | มา |
Eats | Eat | กิน |
Loves | Love | รัก |
Runs | Run | วิ่ง |
Walks | Walk | เดิน |
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, ss, sh, x หรือ zz ให้เติม es
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, ss, sh, x หรือ zz เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Watches | Watch | ดู |
Kisses | Kiss | จูบ |
Washes | Wash | ล้าง, ซัก |
Fixes | Fix | ซ่อม, ติด |
Buzzes | Buzz | ร้องเสียงหึ่ง |
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย o เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Does | Do | ทำ |
Goes | Go | ไป |
4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม es
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Cries | Cry | ร้องไห้ |
Flies | Fly | บิน |
Hurries | Hurry | รีบเร่ง |
Studies | Study | เรียน |
Replies | Reply | ตอบ |
แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ให้เติม s แทน es อย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Annoys | Annoy | ทำให้รำคาญ |
Buys | Buy | ซื้อ |
Enjoys | Enjoy | เพลิดเพลิน, สนุก |
Pays | Pay | จ่าย |
Plays | Play | เล่น |
5. คำกริยาบางคำจะมีรูปเอกพจน์เฉพาะ
คำกริยาบางคำก็มีรูปเอกพจน์เฉพาะตัว ยกตัวอย่างเช่น
เอกพจน์ | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|
Is | Are Be | เป็น, อยู่, คือ |
Has | Have | มี |
จบแล้วนะครับกับการเติม s และ es หลังคำกริยา ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถใช้คำกริยารูปเอกพจน์ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ
อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time